ชาชักมีต้นกำเนิดจากประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่ทำจากชาและนมข้นหวาน โดยมีลักษณะเฉพาะที่ต้องใช้ทักษะในการ “ชัก” หรือ “เท” ชาเพื่อให้เกิดฟองที่นุ่มนวล
ชาชักได้รับความนิยมในประเทศมาเลเซียและถูกนำเข้ามาสู่ภาคใต้ของไทยโดยชาวมุสลิมในช่วงปี 2000 ต่อมาร้านชาและร้านกาแฟต่างๆ จึงนำมาปรับให้เข้ากับรสนิยมของคนไทย
ปัจจุบันชาชักกลายเป็นเครื่องดื่มที่มีความนิยมอย่างมากในประเทศไทยชาชักได้รับการปรับเปลี่ยนให้มีรสชาติที่หลากหลาย เช่น การใช้ชาชักร้อนหรือเย็น และบางร้านยังมีการผสมรสชาติใหม่ๆ เช่น ชาเขียว ชาดำ หรือชาผลไม้
ณ หมู่บ้านเล็กๆ ทางภาคใต้ของไทย มีชายหนุ่มชาวมุสลิมผู้มีความฝันจะเปิดร้านน้ำชา เขาตัดสินใจเดินทางไปมาเลเซียเพื่อเรียนรู้วิชาชาชักจากร้านน้ำชาชื่อดัง ด้วยความมุ่งมั่น เขาทำงานอย่างหนักและฝึกฝนทักษะการชงชาอย่างจริงจัง
ระหว่างที่เขาทำงานในร้านน้ำชา เขาได้พบรักกับบุตรสาวเจ้าของร้าน และมีใจให้กัน แต่พ่อแม่ของหญิงสาวไม่เห็นด้วยกับความสัมพันธ์นี้ พวกเขาตั้งเงื่อนไขสุดท้าทาย หากชายหนุ่มสามารถชักชาได้อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย พวกเขาจึงจะยอมรับ
แม้จะเป็นเงื่อนไขที่ยากลำบาก แต่ด้วยความรักเป็นแรงผลักดัน ชายหนุ่มทุ่มเทฝึกฝนทั้งกลางวันและกลางคืน เขาชักชาจนลวกแขนลวกมือครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เขาไม่เคยยอมแพ้
วันท้าพิสูจน์มาถึง ท่ามกลางสายตาของชาวบ้านที่มารวมตัวกัน ชายหนุ่มชักชาได้อย่างงดงาม น้ำชารินลงสู่แก้วโดยไม่ขาดสาย ทุกคนตกตะลึงในความสามารถของเขา รวมถึงพ่อแม่ของหญิงสาวที่ต้องยอมรับในตัวเขา
ในที่สุด พ่อแม่ของหญิงสาวยอมให้ทั้งสองครองรักกัน ชายหนุ่มให้คำมั่นสัญญากับคนรักว่า “ความรักของเราจะเหมือนสายน้ำชา ที่ไม่มีวันหยุดนิ่งและไม่มีวันขาดสาย” และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ศิลปะการชักชาก็ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความรักและความมุ่งมั่น